วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

ทำไมต้องกิฟฟารีน?

ทำไมต้องสมัครสมาชิกกิฟฟารีน?



          สำหรับคำถามนี้ เราเองก็เคยถามตัวเองเหมือนกัน ตอนที่สมัครก็สมัครอย่างงงๆ เงิน 180 บาท ไม่มากมายก็จริง แต่สำหรับแม่บ้านที่ไม่มีรายได้ รวมทั้งสามีเองก็มีเงินเดือนแค่ใช้เดือนชนเดือน ส่วนใหญ่แล้วก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง เงิน 180 บาทจึงไม่น้อยสำหรับเรา คิดอยู่หลายวันจึงตัดสินใจสมัคร ไม่ได้มั่นใจอะไรทั้งสิ้น ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าการทำธุรกิจกิฟฟารีนออนไลน์นั้นเค้าทำกันอย่างไร เสียดายเงินนั้นก็เสียดายอยู่ แต่ก็นึกว่านี่มันเป็นโอกาสนะ โอกาสที่จะได้คำตอบ สำหรับคำถามที่เคยคาใจมาแสนนานว่าไอ้ธุรกิจเครือข่ายเนี่ย มันดีจริงๆ หรือแค่ธุรกิจที่หลอกเงินชาวบ้านเค้าไปวันๆ
          ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมธุรกิจใหญ่ๆ อย่างแอมเวย์ กิฟฟารีน มิสทีน ทำไมถึงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ล่ะ? อีกเหตุผลหนึ่งที่สมัครคืออัพไลน์หรือแม่ทีมที่ฝันสมัครด้วย เค้าไม่ได้เข้ามาชวนเราเลย แต่เพราะเราซึ่งรู้จักเขาในโลกโซเชียล เคยคุยกันบ้าง (ในโลกโซเชียลเหมือนกัน) เห็นว่าพี่เขาเป็นผู้หญิงเก่ง ขยัน คล่องแคล่ว และรายได้ปกติของเค้าก็ไม่ใช่น้อย ทำไมจู่ๆ เค้าถึงทำกิฟฟารีนล่ะ ทำแล้วเค้าก็สวยขึ้น ที่เห็นชัดๆ คือสวยขึ้นนี่แหละ ซึ่งเคยเห็นรูปสมัยสาวๆ พี่เขาก็สวยมากๆ อยู่แล้ว แต่พออายุมากขึ้น มีครอบครัว ทำแต่งาน รูปร่างก็เริ่มท้วม ความสวยแม้ยังอยู่แต่ก็ต่างไปมากจากสมัยสาวๆ นะ แต่พอทำกิฟฟารีนไม่เท่าไหร่ พี่เขาลงรูปปัจจุบัน เราก็เฮ้ย! ทำไมเร็วนัก ช่วงเวลาที่เราไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ไม่กี่เดือนเนี่ย ทำไมกลับมาคราวนี้ เจ๊สวยมาก หน้าเด็กลงเยอะ พี่แกอายุมากว่าเราสิบกว่าปี แต่หน้าปัจจุบันดูเด็กกว่าเราเสียอีก

          ก็อยากรู้น่ะสิ นอกจากสวยขึ้น แกยังมีรายได้เพิ่ม เป็นรายได้เสริมของแก พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟได้ เราก็สนใจ ถามแกไปทางอินบ๊อกซ์ (Facebook) แกก็บอกว่าแกทำอะไรบ้าง แล้วก็แนะนำว่าถ้าสนใจก็สมัครกับพี่ พี่แนะนำการทำงานให้ ไม่ต้องออกไปขายของที่ไหน ทำงานออนไลน์อยู่กับบ้าน ประชุมก็เข้าในโลกออนไลน์นี่แหละ เพราะพี่เค้ารู้ว่าทางบ้านเรามีปัญหาเรื่องรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย จะให้เสียค่ารถไปประชุมนั้นไม่มีแน่

          แรกๆ ก็กลัวนะ ไม่ได้กลัวถูกหลอก แต่เสียดายเงิน 180 บาทนี่แหละ ที่เสียดายเพราะมันมากมายสำหรับเรา 180 บาทเราใช้ได้เกือบ 1 สัปดาห์ คิดว่ามันสำคัญไหมล่ะ? ควรค่าแก่การเสียดายไหม? แล้วก็ยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำด้วย เพราะไม่ชอบอะไรแบบนี้มาแต่แรก ของที่เราไม่รู้ว่าดีแค่ไหน ไม่เชื่อว่าดี เราไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกใครแน่ กลัวถูกด่า กลัวโดนเกลียด กลัวจริงๆ ทุกวันนี้ จะหาคนที่รักจริงซักคนก็ยากอยู่แล้ว ทำให้คนเกลียดนี่ ไม่กล้าจริงๆ
          แต่ความอยากรู้อยากเห็น เราขอแลก ค่าอาหาร 1 สัปดาห์กับค่าสมัครสมาชิกกิฟฟารีน ก็ได้รหัสสมาชิก 106053731 เอามากอดไว้ ยังไม่รู้จะทำยังไง เริ่มตรงไหน ได้เอกสารมาก็อ่านไป งงไป ไม่ค่อยกล้าถาม เค้าให้เข้าประชุม แรกๆ ก็เข้าไปฟัง ก็ฮึกเหิมชั่วขณะ แต่ไม่มีตังค์ซื้อของให้ทำไง ไม่มีเงินจะลงทุน ในที่สุดก็หยุดเข้าประชุม พยายามหาเงินก่อนเพื่อ


  • ใช้ซื้อของมาใช้เพื่อดูว่า สินค้ากิฟฟารีนนี่ดีจริงไหม?
  • ลงโฆษณา เพราะโลกออนไลน์ไม่มีใครรู้จักเรา เราต้องทำให้คนรู้จัก
  • อยากขึ้น Goldstar ตำแหน่งสำหรับรับปันผลคืนสูงสุด 25%

          จึงหยุดคิดเรื่องกิฟฟารีน กลับไปคิดเรื่องธุรกิจอื่นๆ ก็ไม่มีทุนอีก ที่พอมีติดตัวคือไหมพรมกับเตาอบ เราก็ถักหมวกบ้าง ถักตุ๊กตาบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าสั่งเท่าไหร่ เพราะหยุดไปนาน เว็บไซต์ที่เคยติดตลาดมีลูกค้ามากอยู่ก็โดนปิด เพราะตอนนั้นเปลี่ยนอีเมล์ แล้วอีเมล์ที่ใช้สมัครกับโฮสต์เป็นอีเมล์เก่า ซึ่งเราจำรหัสไม่ได้ พอโดนปิดเว็บเพราะครบกำหนดจ่ายค่าโฮสต์ เราก็ติดต่อไปด้วยอีเมล์ใหม่ แจ้งว่าเราต้องการเปิดเว็บอีกครั้ง เราจะจ่ายค่าโฮสต์ไป ที่ไม่ได้จ่ายเพราะเราไม่ได้ใช้อีเมล์เก่า จึงไม่ได้รับจดหมายแจ้งเตือนก่อนปิดเว็บ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมา เว็บ Adollallday.com จึงถูกปิดไป

          พอกลับมาจับไหมพรมใหม่ มันก็เกือบเหมือนเราเข้ามาในวงการเป็นเด็กใหม่เลย แถมวงการนี้มีคนถักตุ๊กตาใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก แล้วช่วงหลายปีที่เราหายไป ก็ทำให้ฝีมือของเราเท่าเดิม แต่คนอื่นๆ นั้นไปไกลมาก งานสวยๆ กันแทบทั้งนั้น และคงต้องยอมรับว่า Passion ของเราคงมีไม่พอ เพราะถึงแม้ว่าเราจะชอบความสวยงาม น่ารักของตุ๊กตาถัก แต่เราก็ไม่สามารถทนทำได้นานๆ เพราะปวดตามาก จึงหยุดถักตุ๊กตา หันมาถักหมวก ซึ่งง่ายกว่า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีฐานลูกค้าเลย

          ทีนี้ก็เหลือแต่ทำขนมเค้ก ซึ่งพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เพราะเป็นคนประเภทถ้าไม่ชอบก็จะไม่ทำเลย อย่างขนมถ้าทำแล้วไม่อร่อยก็จะไม่ขาย คืออร่อยนี่อร่อยสำหรับตัวเราเอง ซึ่งคิดว่าตัวเองมีมาตรฐานการกินที่สูงพอสมควร ไม่ใช่กระแดะว่าของแพงต้องอร่อยกว่าของถูกเสมอไป แต่ส่วนใหญ่ที่เคยกิน ของมีราคาสูงกว่าก็มักมีรสชาติที่ดีกว่า นั่นก็เพราะเขาใช้วัตถุดิบที่ดีกว่า ตัวเราเองทำขนมก็เปรียบเทียบรสชาติได้ง่าย อย่างมาร์การีนและเนยสดซึ่งใช้ทำขนมแทนกันได้ แต่ทั้งรสชาติและสัมผัสนั้นถือว่าแตกต่างกันมากสำหรับเรา ขนมของเราจึงอาจมีราคาสูงสำหรับคนแถวบ้านที่อยู่ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นิยมของถูก อย่างข้าวเหนียวส้มตำ ข้าวเหนียวที่นี่ยังขายถุงละ 5 บาทอยู่เลย ในขณะที่หลายๆ ที่เค้ามีแต่ 10 บาทขึ้นไป กับข้าวกับปลาก็ถุงละ 10 -20 บาทเท่านั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาทก็ยังมี ถ้าจะทำขนมขายในราคา 5 บาท 10 บาท ก็ยากหน่อย เพราะทำแล้วไม่อร่อยพอ ก็ไม่กล้าขาย แถมหน้าหมู่บ้านมี 7-11 ซึ่งมีเกือบทุกอย่างที่นั่น ทั้งถูกทั้งแพง ต่อให้เราใช้วัตถุดิบดีกว่า ราคาเท่ากัน คนก็เลือก 7-11 จริงไหม? ทำขนมขายหน้าบ้านก็เลยไม่คุ้มทุน เพราะเรามีทุนน้อย สายป่านไม่ยาวพอที่จะขายต่อไปเรื่อยๆ จนคนนิยม ก็เลยทำแค่สัปดาห์ละครั้ง ทำให้แฟนเอาไปขายที่ทำงาน พอให้ได้ ค่ากินบ้าง เพราะแฟนให้แค่สัปดาห์ละ 200 บาท เลี้ยงตัวเอง ลูกอีกสามคน ถามหน่อย พอไหม?

          บอกตรงๆ จะตายเอา บางมื้อนี่ไม่มีข้าวกินนะ เราก็เฮ้ย! ยังงี้แล้วเมื่อไหร่ล่ะ? ถึงจะมีกินมีใช้ ถ้าเรายังอยู่แบบนี้ต่อไป มันจะไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ ลูกโตขึ้นนะ ค่าใช้จ่ายจะมากขึ้น แค่นี้อาหารการกินก็ราคาขึ้น เงินร้อยกว่าบาทกำไปตลาดนัด ได้ผักมานิดเดียวเอง ขืนเป็นแบบนี้ตายแน่ๆ

          แล้วทำไมไม่ไปหางานทำล่ะ? เชื่อว่าถ้าเล่าให้ใครฟัง ก็คงถามกลับกันมาแบบนี้ ไม่ใช่ไม่เคยถามตัวเองนะ ถามแล้ว ถามไปตอบมาได้ว่า หางานทำ จะไปหาที่ไหน...ทำงานโรงงานเหรอ? เขาจะรับไหม? ไม่มีประสบการณ์การทำงานเลย อายุก็มากแล้ว 30 กว่า หางานยากนะ มีแต่งานแม่บ้าน ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ก็กลัวเหมือนกัน ไปบ้านคนไม่รู้จัก งานบ้านก็ไม่ได้เก่งอะไร แล้วสมัครงานที่ไหน ก็ต้องแต่งให้ดีหน่อย มีรายจ่ายอีก ต้องซื้อเสื้อผ้า รองเท้า มีค่ารถ ค่ากินอีก กว่าจะได้งาน เป็นคนเมารถด้วย ถ้าทำงานไกล นั่งรถไหวไหม? ที่สำคัญคือรู้ดี ทำงานเป็นลูกจ้างเขา... “มันไม่รวย”

          สำคัญนักเหรอ...ว่าต้องรวย?
          ตอบเลย สำคัญมาก สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ สำหรับเราปัจจุบัน ความรวยนั้นสำคัญมาก เราจนมาแล้วทั้งชีวิต เกิดมาจนนั้นไม่ผิด แต่ตายจนนั้นผิด บอกเลย เพราะอะไร? เพราะเราจนแล้วพ่อแม่ไม่สบายใจ ต้องมาคอยเป็นห่วงว่าเราจะกิน จะอยู่อย่างไร ห่วงลูกไม่พอ ห่วงหลานอีก มันจะเลี้ยงลูกมันไหวไหว? ไปถามพ่อกับแม่ก็ได้ ถ้าลูกลำบาก มีพ่อแม่กี่คนที่สบายใจ...ดังนั้นความจนของเรามันเป็นบาป เราไม่เกลียดความจน ไม่เกลียดคนจน เพราะเราก็โคตรจน และอยู่แบบจนๆ กระเบียดกระเสียนมาตลอดชีวิต ใส่เสื้อผ้าขาดๆ อดมื้อกินมื้อ อย่าว่าเว่อร์เลยนะ กางเกงขายาว เราไม่มีแม้แต่ตัวเดียว (ไม่รวมกางเกงยีนส์สมัยวัยรุ่นที่เก็บซุกไว้ในถุงเพราะใส่ไม่ได้แล้ว) แป้งทาตัวเด็ก ยังไม่มีเงินซื้อให้ลูกเลย เงินเรามีไว้ซื้อข้าวกิน แล้วแบ่งไว้ลงทุนทำขนมขายบ้างเท่านั้น กำไรก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้างนะ ขายหมดก็ได้ ขายไม่หมดก็ขาด บางวันลูกค้าประจำที่ซื้อทีละมากๆ ก็ไม่มาทำงาน วันนั้นก็ขาดทุนไป หรือไม่ก็เสมอตัว ค่าแรงไม่มี เหลือขนมไว้กินบ้าง แจกบ้างตามสมควร บางครั้งก็กินขนมแทนข้าวก็มี เพราะไม่มีเงินซื้อกับข้าวกิน

          ที่ผ่านมา ผิดหมดเลย แต่ก็ช่างมัน ถือว่าผิดเป็นครู การประหยัดไม่ได้ช่วยอะไรมาก แค่ช่วยให้เราไม่มีหนี้เพิ่มเท่านั้น แต่ช่วยให้เรารวยหรือแค่ “มีมากขึ้น” ยังไม่ได้เลย ก็ต้องเรียนรู้ใหม่ เพราะการเดินไปทางที่ไปแล้วไม่ถึงเป้าหมายนั้นมันเสียเวลา และไม่ก่อประโยชน์ ก็กลับมาคิดใหม่ มีงานไหนที่ทำได้ ทำได้ดี ทำแล้วมีความสุขบ้าง หาสิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก สิ่งที่ทำได้ สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่ทำให้เกิดรายได้ แล้วหาจุดเชื่อมโยง ตรงกลางที่สมดุล ที่ไปด้วยกันได้ คิดหลายตลบ เขียนออกมาด้วย

          สุดท้ายไม่เจอเลย เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย เพราะเป็นคนหลายใจ เป็นโรคขี้เบื่อ ถ้าสนใจทำอะไรแล้วจะบ้าสุดๆ ทุ่มสุดพลัง แต่ถ้าทำได้ระดับหนึ่งแล้วมันตัน ไปต่อไม่ได้เพราะขาดเงินแล้ว ก็จะหยุด ท้อยาวเหมือนกัน แล้วก็หันไปหาเรื่องใหม่ ทำแล้วตัน หยุด หันกลับมาใหม่ อยู่อย่างนี้ เหมือนพายเรือในอ่างอย่างไรก็ไม่รู้ ก็พยายามจะตัด เลิกทำขนมได้ไหม จะได้ผอมสักที ก็ไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่มีเงินกินข้าวเลย เลิกถักไหมพรมไหม ก็ไม่จำเป็นอีก เพราะไม่ค่อยได้ถักอยู่แล้วช่วงนี้ แต่ถ้าจะถักก็ต้องถักให้ได้ดีไปเลย แบบทำแพทเทิร์นขายไปเลย ไม่งั้นก็ไม่ต้องทำให้เสียลูกตา หาตลาดเพิ่มดีไหม? ตรงนี้ก็น่าสนใจอยู่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว งานที่ไม่ต้องลงทุนเรื่องเงินให้มาก แต่อาจจะสร้างเงินล้านบาทแรกให้ได้ก็คือ “กิฟฟารีน” ก็เริ่มตาสว่าง เราจะหาเงินล้านบาท โดยที่ไม่ต้องลงเงินมากมายได้อย่างไร ในระยะเวลาสั้นๆ จึงต้องมาวางแผนด้านการทำงานกันใหม่ ทำอย่างไรจะได้เงิน 1 ล้านบาท ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี หรือหาเงินให้ได้ราวๆ ห้าหมื่นบาทต่อเดือนภายในเวลา 2 ปี ส่วนปีแรกเป็นการไต่เต้าไปเรื่อยๆ เริ่มจากเงินหลักพันบาทต่อเดือนในการใช้สินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาเงินปันผลเอาไว้ เพื่อได้เรียนรู้ถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพราะถ้าเราไม่ใช้สินค้าของตัวเองเลย เราจะบอกใครๆ ได้อย่างไร ว่าสินค้าเราดี หรือไม่ดีอย่างไร สักแต่ว่าพูด ไอ้นั่นดี ไอ้นั่นใช่ แล้วใครเค้าจะเชื่อ

          นอกจากการเริ่มใช้สินค้าแล้วที่สำคัญคือการปรับทัศนคติ เงินพันบาทต่อเดือนสำหรับฉันมันมากมายมหาศาลมาก แต่ถ้าไม่ลงทุนซื้อหม้อก็หุงข้าวไม่ได้ ปกติในชีวิตประจำวันเราต้องแปรงฟัน อาบน้ำ ซักผ้า หุงข้าว ล้างจาน ผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ต้องซื้อเขาอยู่แล้ว จ่ายเงินเป็นปกติทุกเดือน เพียงแต่ว่าเราซื้อทีละนิด ทีละหน่อยได้ ถ้าเปลี่ยนมาซื้อกิฟฟารีนก็ซื้อทีละนิดทีละหน่อยได้เหมือนกัน แต่ก็เลือกที่จะซื้อทีเดียวเลยดีกว่า เพราะมีสิทธิ์พิเศษในการแลกซื้อสินค้าชิ้นอื่นๆ มาทดลองในราคาที่ถูกลงด้วย ลำบากตรงที่ต้องคอยเก็บเงินให้ได้มากกว่าพันบาทต่อเดือนเท่านั้น แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรเกินความตั้งใจไปได้หรอก ว่ากันว่า “ถ้าตัดสินใจที่จะรวยแล้ว เราก็รวยได้ทันที”

          เมื่อสนใจก็ศึกษา ดูสินค้าตัวไหนขายดี มีดีอย่างไร จุดขาย จุดแข็ง  สินค้านี่พบเลยว่ามีเยอะมาก เพราะกิฟฟารีนมีสินค้ากว่า 2000 รายการ หลากหลายประเภท เจาะกลุ่มลูกค้าได้หลายกลุ่ม

          ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู สบู่ ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม มีหมด ตรงนี้แหละที่เราจะใช้เปิดใจคนที่มีรายได้น้อยแบบเรา เพราะเริ่มต้นด้วยของที่ต้องใช้อยู่แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ได้เงินปันผลคืน ในขณะที่ผ่านๆ มา ของที่เราซื้อใช้ก่อนหน้านี้ไม่เคยให้คืน    
     
          เครื่องสำอาง หลายรายการ แบรนด์คุณภาพมาตรฐาน เทียบแบรนด์ดังขึ้นห้าง แต่ราคาต่างเยอะ ถูกกว่าที่คิดไว้มากเลย อันนี้เหมาะกับคนรักความสวยความงาม ซึ่งจริงๆ เราก็รักนะ แต่ตอนนี้เงินน้อย ก็คอยไปก่อน แต่ก็หาความรู้เอาไว้บ้าง

          อาหารเสริมกิฟฟารีน มีแยะเลย ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ เราก็สนใจเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบพวกอาหารเสริมเท่าไหร่ เพราะเม็ดเหมือนยา ไม่ชอบกินยา และคิดว่าไอ้พวกอาหารเสริมเนี่ยไม่เห็นจำเป็น แต่พอได้อ่านหนังสือ “วิตามินไบเบิล” ของ ดร.เอิร์ล มินเดลล์ แล้วก็รู้สึกว่า ขนาดหมอเค้ายังกินเลยนะ อาหารเสิรมเนี่ย CEO ของกิฟฟารีน ก็เป็นหมอ ท่านก็กินเหมือนกัน จึงเชื่อว่าอาหารเสริมของกิฟฟารีนนั้นปลอดภัย แต่อาหารเสริมก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องโรค เพราะโรคบางอย่างห้ามกินอาหารเสริมบางอย่าง จึงต้องศึกษาให้ดีด้วย

          ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก กำลังฮิตกันเลย ตอนนี้มีโฆษณาตัวนึง ดังด้วย Deep Marine Whey เพราะเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่ใช่ยาหรืออาหารเสริม จึงไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย ตัวนี้ก็น่ากินเหมือนกัน คิดว่าถ้าพอมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะซื้อมาลองกินดูบ้าง เพื่อนๆ ในทีมหลายคน กินแล้ว สวยขึ้น อยากผอมสวยกับเค้าบ้าง นอกจาก Deep Marine Whey ก็ยังมี Citrimax Giffarine และอีกหลายๆ ตัว ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ ใครอยากรู้ก็ถามได้ จะหาข้อมูลมาให้ทุกเรื่อง ยินดีค่ะ

          ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ไม่น่าเชื่อว่าจะมี แต่ก็มี แถมทำให้ผู้บริหารที่เจาะเรื่องนี้มีรายได้นับล้านบาทต่อเดือน อ่ะนะ พ่อเราทำเกษตรอยู่ ให้พ่อใช้ดูน่าจะดี เสียแต่ช่วงนี้เดี๋ยวแล้งเดี๋ยวท่วม สงสารชาวไร่ชาวนาจังเลย

          เครื่องกรองน้ำ กิฟฟารีน ผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังมานาน อยู่มานาน อยู่มาดีด้วย เราเองก็อยากได้ เครื่องกรองเก่าที่มีเริ่มให้กลิ่นรสน้ำที่แปลกๆ แล้ว รออีกหน่อยเถอะ จะสอยมาใช้บ้าง เขาว่าดีกันนัก จะเชื่อได้ไหม มีทางเดียว ต้องลอง กำลังศึกษาอยู่เช่นกันค่ะ

          หมอนสุขภาพ หมอนบัควีท ว่ากันว่าแก้นอนกรน กัดฟัน ไมเกรน ออฟฟิศซินโดรมได้ น่าสนใจมากเลย เพราะเดือนนี้มีโปรโมชั่นแลกซื้อชิ้นที่สอง ถูกลงเป็นพัน เสียดาย ตอนนี้เรายังไม่มีเงินมากพอ แต่ก็ต้องมีสักวันได้ลองใช้ดูบ้าง เพราะทุกคืนนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นมาเพลีย ปวดต้นคอ ปวดหัว เวียนหัว อยู่เรื่อย ก็หวังว่าคงจะช่วยเราได้เหมือนที่มีรีวิวของเหล่าแม่ทีมและลูกค้าบอกต่อๆ กันมาว่าดี เราก็เลยทำเพจหมอนบัควีทขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ได้อ่านสรรพคุณของเปลือกบัควีทที่ใช้หุ้มหมอนมาแล้วหลายๆ ที่

ฝากไลค์เพจด้วยนะคะ

อีกเพจสำหรับรวมเรื่องราวของเราค่ะ ทั้งครอบครัว งาน และสิ่งที่ชอบค่ะ


          “ทำธุรกิจต้องสนิทกับผู้บริหาร” จริงป่ะ ถ้าเรายังไม่รู้จักเลย มันก็ยากที่จะบอกใครว่าเราทำธุรกิจอะไร ใครเป็นผู้บริหาร มีดีอย่างไร จึงติดตามเรื่องราวของคุณหมอต้อย พญ.นลินี ไพบูลย์  บอกเลยทั้งชีวิตเรานับถือคนยากมากๆ แต่ท่านเข้าไปอยู่ในใจเลย ทั้งแนวคิดการทำธุรกิจและการให้ในคราวเดียวกัน

          นอกจากนี้ก็ศึกษาเรื่องการทำธุรกิจออนไลน์ ซึ่งจะว่ายากก็ได้ จะว่าง่ายก็จริง คือง่ายมากเลยสำหรับคนที่มีเพื่อนมีคนรู้จักมาก เพราะมีคนจำนวนมากรอติดตามคุณ และพร้อมจะเชื่อและทำตามที่คุณบอก และตรงนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบและเป็นข้อควรระวังด้วย ที่ต้องระวังคือต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง หากให้ข้อมูลที่ผิด ผลเสียย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และสำหรับคนที่มีสังคมน้อยอย่างฉันมันก็ยากทีเดียว แต่ความยากก็ท้าทายดีเหมือนกัน เพราะมันสั่งให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง สิ่งที่แตกต่างไปจากเมื่อวาน ก็จะเป็นไรไปล่ะ ในเมื่อเราอยากเปลี่ยนชีวิต ถ้าเราไม่คิดเริ่มต้นเปลี่ยนอะไรในตัวเองเลย แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้ และนี่ก็เป็นก้าวหนึ่ง เปิดใจให้ได้ก่อน เพื่อจะได้เปิดใจผู้อื่นได้ สิ่งสำคัญคือความจริงใจ เพราะมันยืนยงคงกระพันที่สุด สู้ต่อไป! ไอ้มดงาน

          สำหรับตัวช่วยในการทำธุรกิจออนไลน์นั้นก็มีมากมาย ยิ่งสำหรับทีมอนัตตาของเราด้วยแล้ว มีพ่อทีมแม่ทีมที่เก่งมาก จนได้รับหลายรางวัลในการแข่งขันท่องเที่ยวต่างประเทศ ทางต้นสาย แม่ๆ ทีมของเราก็ได้เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือเราไว้มาก ทั้งรูปแบบเว็บไซต์ ไฟล์ข้อมูลสินค้า เพจและกลุ่มสำหรับปรึกษาเรื่องสินค้าและการทำธุรกิจในกลุ่ม อีกทั้งมีการประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อแนะแนวทางการทำงานให้สมาชิกใหม่ๆ ได้เรียนรู้ระบบงานอีกด้วย          
          สำหรับเราตอนนี้ไม่มีความสงสัยอะไรในกิฟฟารีนอีก เพราะเห็นคนที่ทำงานมาก่อน เห็นความสำเร็จของเขา ยอมรับว่าเขาเก่งกว่าเราเขาถึงไปได้ เปลี่ยนจากความอิจฉาในตอนแรกเป็นความยอมรับนับถือ ความชื่นชมยินดี ชีวิตมีความสุขขึ้นจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าวันนี้ ฉันจะยังไม่มีเงินหมื่น เงินแสน เงินล้าน แต่ฉันก็เชื่อมันว่าฉันทำได้ จะก้าวไปยืนข้างๆ เหล่าแม่ทัพ โดยไม่ต้องนับศพใคร เพราะเราทำด้วยใจที่รู้สึกว่า “ให้” ให้สิ่งดีๆ กับตัวเอง และให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เชื่อว่า “เพราะให้จึงได้รับ”

          และถ้าคุณก็เชื่อมั่นว่าคุณทำได้ ก็มาร่วมทีมทำงานด้วยกันได้เลยค่ะ

          ฉันชื่อ พาฝัน กอมะณี อายุ 33 ปี จบปริญญาตรี สาขามนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่เคยเอาความรู้ในการเรียนมาทำงานเลย...ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อย ฉันจะทำบล็อกภาษาไทย สอนภาษาไทยฟรีๆ ให้เด็กๆ แต่ตอนนี้ขอทำธุรกิจก่อนนะ ส่วนบล็อกความรู้ตอนนี้ทำบล็อกอาหารค่ะ แนะนำวัตถุดิบ เนื้อหายังน้อย แต่จะเพิ่มเติมให้เรื่อยๆ เท่าที่ความรู้พอมี และเวลาที่ใช้สร้างความสุขค่ะ

          My Sweet Blog : http://sweetsurvive.blogspot.com/

และบล็อกนี้สำหรับแนะนำสินค้ากิฟฟารีน การทำงานกิฟฟารีนออนไลน์ รวมทั้งสาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพที่สรรหามาเล่า ด้วยความอยากให้รู้กันค่ะ
          My Giffarine Blog: https://give4health.blogspot.com
          My Facebook : https://www.facebook.com/givegiftgiff
          Line Id: givegift6givegiff
          Instagram: igiff_egift
          Email: idoyoucan@gmail.com
          Mobile: 089-1516533


โปรดติดตามแนวทางการทำงานในตอนต่อไป


สมัครสมาชิกกิฟฟารีนออนไลน์
ได้มากกว่าส่วนลด 25%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...